วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ประเพณีปีใหม่ของคนญี่ปุ่น


ประเพณีปีใหม่ของคนญี่ปุ่น

ในช่วงปีใหม่ คนญี่ปุ่นจะประดับที่หน้าบ้านด้วย Kadomatsu
(ไม้ไผ่สามปล้องมัดรวมกัน) และ Matsu-kazari (ใบสน) และ Shimenawa (เชือก) ซึ่งเป็นประเพณีทางชินโต นอกจากนี้คนญี่ปุ่นจะกิน โมจิ (ข้าวเหนียวตำ) และ กินโอเซะจิเรียวริ (อาหารสำหรับปีใหม่) เป็นประเพณีของคนญี่ปุ่น




การตีระฆังในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า Joya no Kane

ในวันที่ 31 เดือนธันวาคม ที่คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า Oomisoka เป็นวันที่สำคัญของคนญี่ปุ่น และมีการกิน Toshikoshi-soba โซบะข้ามปี เป็นประเพณีที่เริ่มมาตั้งแต่ในสมัยเอโดะ (1603-1867)คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่า กินโซบะในวันนี้แล้วอายุจะยืน และที่วัดจะมีการตีระฆังที่เรียกว่า Joya no Kane จำนวน 108 ครั้ง เท่ากับจำนวนกิเลสของมนุษย์ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ถ้ามีโอกาสไปเที่ยววัดญี่ปุ่นในช่วงนั้น ลองไปร่วมตีระฆังดูดีไหม



ชมพระอาทิตย์แรกของปี Hatsuhi no de

คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่า การชมพระอาทิตย์แรกของปี มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ประเพณีเริ่มขึ้นมาในสมัยเมจิ (1868-1912) ขึ้นภูเขาชมพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันที่ 1 มกราคม อธิฐานให้ครอบครัวมีความสุขและมีสุขภาพแข็งแรงตลอดปี



การไปไหว้วัดหรือศาลเจ้าใน วันแรกของปี Hatsu Moude

ในช่วงนี้ วันที่ 1-2-3 ของเดือนมกราคม คนญี่ปุ่นที่แม้ปรกติไม่ได้ไปวัดหรือศาลเจ้า ก็จะพากันไปไหว้ขอพรกันในช่วงนี้ ผู้หญิงก็พากันแต่งกิโมโนสวยๆ มีบรรยากาศของปีใหม่แบบญี่ปุ่น วิธีไหว้ขอพรที่ศาลเจ้า ก้มหัวสองรอบ ปรบมือสองรอบ และก้มหัวอีกรอบ ส่วนการขอพรที่วัดให้พนมมือไหว้พระตามปรกติ ถ้าเป็นศาลเจ้า Meiji Jingu ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ในเขต Harajuku ก็จะเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมาไหว้ขอพรในช่วงปีใหม่ ถ้าเป็นวัดก็ต้อง Naritasan Shinshoji ที่อยู่ใกล้สนามบิน Narita และ วัด Kawasaki Daishi ที่อยู่ในอำเภอ Kawasaki ทั้งสองวัดนี้มีชื่อเสียง สถานที่ที่กล่าวชื่อมาทั้งสามแห่ง เชื่อกันว่าถ้าไปไหว้แล้วจะโชคดี การงานดี สุขภาพแข็งแรง



การประดับตกแต่งในช่วงปีใหม่ Shogatsu Kazari

คนญี่ปุ่นประดับหน้าบ้านช่วงปีใหม่เพื่อต้อนรับเทพเจ้าทางชินโต เชื่อกันว่าเทพเจ้าจะมาสถิตยังที่ที่มีต้นไม้หรือพืชพรรณ จึงมีการทำ Matsu-Kazari โดยใช้ใบสนมาทำเป็นของประดับตกแต่งสำหรับแขวนไว้หน้าบ้าน เหตุเพราะแม้ในฤดูหนาวใบสนก็จะยังคงเขียวสดอยู่เสมอนั่นเอง ส่วน Kadomatsu ไม้ไผ่สามปล้องมัดรวมกัน เป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโตรวดเร็วและซื่อตรง ส่วน Shimenawa เป็นเชือกมัดที่แขวนไว้เพื่อต้อนรับเทพเจ้าเช่นกัน



อาหารในช่วงปีใหม่ Osechi Ryori

เมื่อไปไหว้ที่วัดและศาลเจ้าในช่วงเช้าเสร็จแล้ว ก็จะพากันกลับบ้านไปกินอาหารในช่วงปีใหม่ Osechi Ryori หมายถึงอาหารที่ถวายให้กับเทพเจ้าในช่วง 5 วันแรกของปีใหม่ อาหารที่อยู่ใน Osechi Ryori มีความหมายในทางมงคลต่างๆ มีข้อดีตรงที่ทำไว้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ แม้กินตอนเย็นแล้วก็ยังอร่อย เก็บไว้ได้หลายวัน ประหยัดแรงแม่บ้าน ไม่ต้องทำกับข้าวในช่วงปีใหม่ ในช่วงนี้ ทั้งเรียวกังและโรงแรมต่างพากันทำ Osechi Ryori สำหรับลูกค้าที่มาพักในช่วงปีใหม่ ลองหาแพ็คเก็จพิเศษๆ สำหรับ ที่พักพร้อม Osechi Ryori ดูดีไหม นอกจากนี้ บางที่ยังมีการบรรเลงดนตรีด้วย Koto หรือ มีการเชิดสิงโตแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า Shishimai



วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น


จังหวัดฮอกไกโด

เป็นชื่อจังหวัดและเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่น รองจากเกาะฮนชูโดยมีอุโมงค์เซกังเชื่อมถึงกัน นอกจากนี้ฮอกไกโดยังเป็นเขตการปกครอง ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่เกาะ โดยมีเกาะฮอกไกโดเป็นศูนย์กลาง และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเขตได้แก่ซัปโปโระ ฮอกไกโดเป็นเขตที่มีคนอาศัยอยู่เบาบาง มีประชากรทั้งเกาะประมาณ 5 ล้านคน คนส่วนใหญ่ย้ายมาจากเกาะฮนชูเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน โดยเป็นแหล่งที่ซามูไรแพ้สงครามจึงต้องหนีมาอยู่ที่เกาะนี้ ความจริงแล้วที่เกาะนี้มีชนพื้นเมืองอาศัยอยู่มานานแล้วคือชาวไอนุ แต่ถูกกลืนชนชาติไป ปัจจุบันหลงเหลืออยู่น้อยมากและดำรงชีวิตเช่นเดียวกับชาวญี่ปุ่นทั่วไป ฮอกไกโดเป็นเขตที่มีอากาศหนาวเย็น โดยเฉลี่ยจะมีหิมะท่วมอยู่ทั่วไปประมาณ 4-6 เดือน ในถดูหนาวจะมีอุณหภูมิ -20 ถึง 5 องศาเซลเซียส ในหน้าร้อนจะมีอุณหภูมิ 15 ถึง 30 องศาเซลเซียส ภูมิประเทศเป็นภูเขาเป็นส่วนใหญ่ ในบริเวณที่ราบลุ่มก็จะเป็นเมืองที่คนอาศัย โดยจะหนาแน่นในบริเวณเมืองซัปโปโระ ซึ่งมีอากาศอุ่นกว่าบริเวณต่าง ๆ ของเกาะ แต่ก็ยังหนาวกว่าเมืองอื่น ๆ ในเกาะฮนชู ฮอกไกโดเป็นเกาะที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีทิวทัศน์ที่สวยงาม ชาวญี่ปุ่นจากส่วนที่อื่น ๆ ของประเทศจึงนิยมมาตากอากาศหรือย้ายมาอาศัยและทำงานเป็นจำนวนมาก




ประวัติศาสตร์

ฮอกไกโดเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวไอนุตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ชื่อสถานที่หลายแห่งบนเกาะเช่นเมืองซัปโปโระก็เป็นภาษาไอนุ ฮอกไกโดเคยมีชื่อว่าเอโซะจนสิ้นยุคเมจิ ในช่วงสงครามโบชินเมื่อปี พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) กองกำลังสนับสนุนรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะซึ่งนำโดยเอโนโมโตะ ทาเกอากิ ได้ประกาศเป็นรัฐอิสระในนามสาธารณรัฐเอโซะ แต่ก็ล่มสลายในปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) ภายหลังแบ่งเขตการปกครองเป็น 4 ส่วน ฮอกไกโด ในภาษาญี่ปุ่นเขียนว่า 北海道 โรมะจิสะกดว่า Hokkaidō หมายถีง "เส้นทางสู่ทะเลเหนือ" ฮอกไกโดเป็นทั้งชื่อเกาะ เขตแดนและจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะมีให้เห็นคำว่า เกาะฮอกไกโด ซึ่งกล่าวถึงเกาะโดยรวม เขตฮอกไกโดกล่าวในลักษณะโดยรวมของบริเวณทางส่วนเหนือของญี่ปุ่น แต่จะไม่เพิ่มคำว่าจังหวัดลงหน้าชื่อฮอกไกโด เนื่องจากคำว่า โด ในชื่อฮอกไกโดมีความหมายว่าจังหวัดอยู่แล้ว




ภูมิอากาศ

ฮอกไกโดมีชื่อว่าเป็นดินแดนที่มีฤดูร้อนที่เย็นสบาย จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นจากส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ส่วนในฤดูหนาวก็จะมีหิมะมากและหนาวนานอยู่ประมาณครึ่งปี (ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนเมษายน) แม้อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22 °C (72 °F) แต่เดือนมกราคมจะมีช่วงอุณหภูมิต่ำมากประมาณ -12 °C ถึง -4 °C (10 °F ถึง 25 °F) ในระหว่างฤดูหนาว ทะเลโอค็อตสค์ทางตะวันออกของเกาะจะกลายเป็นน้ำแข็งทำให้การเดินทางทางทะเลแถบน้ำเป็นไปได้ยาก ต้องใช้เรือตัดน้ำแข็ง ส่วนการประมงก็ต้องรอจนกว่าจะสิ้นฤดูหนาว เนื่องจากฮอกไกโดเป็นดินแดนหิมะ ที่เมืองซัปโปโระจึงมีการจัดเทศกาลหิมะเป็นประจำทุกปี ในราวต้นเดือนกุมภาพันธ์




สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม5แห่ง

1.ป้อมโงเรียวกาคุ (Fort Goryokaku), เมือง Hakodate




  2.ริมคลองโอตารุ (Otaru Canal Area), เมือง Otaru





   3.ทุ่งดอกไม้ ฟูราโน่ (Furano Flower Field), เมือง Furano




  4. ลานสกีฟูราโน่ (Furano Ski Area), เมือง Furano




  5. โจซังเคออนเซ็น (Jozankei Onsen), เมือง Sapporo



วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เกาะอาโอชิมะ ประเทศญี่ปุ่น


เกาะอาโอชิมะ(Aoshima)
เกาะแมวแห่งญี่ปุ่น บ้านหลังน้อยสำหรับแมวเหมียวนับ 100 สวรรค์แห่งใหม่สำหรับคนรักแมว สำหรับเกาะอาโอชิมะที่อยู่ห่างออกไป 8 ไมล์ นอกชายฝั่งทะเลของโอจู ซิตี้ จังหวัดเอะฮิเมะ ประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ เป็นบ้านหลังน้อยที่แสนสุขของแมวเหมียวกว่า100ตัว ขณะที่บนเกาะมีผู้อยู่อาศัยเพียง15คนเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัย50-80ปีทั้งสิ้น และเชื่อหรือไม่ว่าเกาะเล็กๆที่เงียบสงบแห่งนี้เพิ่งจะกลายมาเป็นที่สนใจของคนทั่วประเทศในช่วงเวลาไม่นานนี้เอง หลังมีคนนำภาพของแมวบนเกาะนี้โพสต์ขึ้นบนทวิตเตอร์เมื่อตอนสิ้นเดือนกันยายน2556ทำให้เกาะเล็ก ๆ ที่ไม่มีทั้งโรงแรมและร้านอาหาร รวมทั้งไม่มีแม้แต่ตู้ขายของอัตโนมัติเลย ได้มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่แห่กันเข้ามาเยี่ยมเยือนชนิดที่ชาวเกาะตั้งตัวไม่ทัน





แต่เดิมทีในอดีต เกาะอาโอชิมะแห่งนี้ไม่ได้เป็นเหมือนสวรรค์ของเหล่าแมวเหมียวดังเช่นในปัจจุบัน จนกระทั่งในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่2เกาะแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่หลบภัยสำหรับผู้อพยพ ซึ่งบางคนก็นำสัตว์เลี้ยงของพวกเขาติดมาด้วย และต่อมาในปี1960เกาะแห่งนี้ก็มีประชากรอยู่อาศัยร่วมกันมากถึง655คน ทว่าต่อมาชาวบ้านทั้งหลายก็เริ่มจะละทิ้งสถานที่แห่งนี้เข้าไปหางานทำบนแผ่นดินใหญ่ ย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น ทิ้งบ้านบนเกาะและสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไว้ จนกระทั่งในช่วง10กว่าปีที่ผ่านมา แมวเหมียวที่ยังคงอยู่บนเกาะก็ได้ขยายพันธุ์ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และพากันกระจายมาอาศัยอยู่กันตามบ้านร้างและถนนที่ว่างเปล่าดังเช่นที่เราจะเห็นได้ในทุกวันนี้



หลังจากที่เกาะอาโอชิมะได้กลายมาเป็นที่สนใจของชาวเน็ต กัปตันเรือเดินสมุทรซึ่งทำหน้าที่รับ-ส่งผู้โดยสารจากโอจู ซิตี้ ไปยังเกาะโอชิมะ ก็ต้องทึ่งกับปริมาณคนที่หลั่งไหลกันเข้ามาใช้บริการเรือเดินสมุทรของเขา ซึ่งเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะเดินทางไปยังเกาะได้ โดยกัปตันเรือเผยว่า "ในทุก ๆ สัปดาห์ นักท่องเที่ยวจะแห่เข้ามาใช้บริการเรือของเขาทั้งๆที่บนเกาะนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากแมว" ทั้งนี้เพราะเขาไม่คาดคิดนั่นเองว่าทุกสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการเห็นก็คือแมวเหล่านั้นนั่นล่ะ  



ทั้งนี้นอกจากเกาะอาโอชิมะ ที่ญี่ปุ่นยังมีสถานที่อีกหลายแห่ง ที่ได้รับการขนานนามให้เป็น เกาะแมว หรือ เนโกะ ชิมะ (Neko Shima) เช่น เกาะทาชิโรจิม่า อันโด่งดัง ตั้งอยู่นอกชายฝั่งอิชิโนมากิ ของจังหวัดมิยากิ ซึ่งแต่ก่อนเคยมีประชากรอาศัยอยู่บนเกาะเกือบพัน แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่86คน ที่อาศัยอยู่ร่วมกับแมวประมาณ100ตัว โดยในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่าคนรักแมว บนเกาะแห่งนี้ได้มีการออกแบบบ้านและร้านขายของที่ระลึกให้มีรูปร่างเหมือนแมว และยังมีการจัดการกับเหล่าแมวเหมียวที่ดีมาก โดยสุนัขไม่ได้รับอนุญาตให้นำขึ้นมาบนเกาะ และยังมีสัตวแพทย์ที่คอยตรวจร่างกายให้กับแมวเหล่านี้เสมอ ผู้คนยังนิยมให้อาหารแมวพวกนี้โดยเชื่อว่าพวกมันจะนำโชคดีมาให้อีกด้วย 





วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาและข้อตกลง

สนธิสัญญา (treaty)
เป็นข้อตกลงเฉพาะหน้าภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งเข้าทำสัญญาโดยตัวแสดงในกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ รัฐเอกราชและองค์การระหว่างประเทศ สนธิสัญญาทวิภาคีทำระหว่างสองรัฐหรือองค์การ อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ว่าสนธิสัญญาทวิภาคีอาจมีภาคีมากกว่าสอง ตัวอย่างเช่น พิจารณาสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับสหภาพยุโรปหลังการปฏิเสธความตกลงพื้นที่เศรษฐกิจยุโรปของสวิสเซอร์แลนด์ สนธิสัญญาแต่ละฉบับมีภาคีสิบเจ็ดประเทศ แต่สนธิสัญญาเหล่านี้ก็ยังเป็นสนธิสัญญาทวิภาคี มิใช่พหุภาคี ภาคีแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สวิตเซอร์แลนด์ ("ฝ่ายหนึ่ง") กับสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิก ("อีกฝ่ายหนึ่ง") สนธิสัญญาก่อตั้งสิทธิและข้อผูกมัดระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกอย่างหลากหลาย ซึ่งมิได้สถาปนาสิทธิและข้อผูกมัดใด ๆ ระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิก





ข้อตกลง (Agreement)
เอกสารหรือตราสารที่ตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปทำข้อตกลงร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งว่า แต่ละฝ่ายจะปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดระหว่างกัน โดยอาจจัดทำระหว่างรัฐกับรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างหน่วยงานภายในประเทศกับหน่วยงานต่างประเทศก็ได้ ความตกลงระหว่างประเทศที่จัดทำขึ้นระหว่างรัฐกับรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับองค์การระหว่างประเทศ อาจมีสถานะเป็นสนธิสัญญา (treaty) ที่มีผลผูกพันภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศก็ได้ ขึ้นกับเจตนาของภาคี ทั้งนี้ “สนธิสัญญา (Treaty)” เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไป ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ใช้คำว่า “หนังสือสัญญา” ซึ่งหมายถึงสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง สนธิสัญญาอาจใช้ชื่อเรียกอื่นได้หลายชื่อ เช่น ความตกลง (Agreement) พิธีสาร (Protocol) บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MoU) เป็นต้






COP24

COP24(Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention)หรือ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 หรือ COP24 เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิกเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วมการประชุม ระหว่างวันที่ 3 - 14 ธันวาคม 2561 ณ เมืองคาโตวีตเซ สาธารณรัฐโปแลนด์ การประชุมใหญ่ระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเวทีนี้ มีวาระสำคัญคือ การออกกฎกติกาใหม่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามข้อตกลงปารีส ปี 2015 (พ.ศ.2558)







ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวไทยในวันเปิดการประชุมที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 4-9 กันยายนที่ผ่านมาว่า นายมีเคล กูร์ตีกา ว่าที่ประธานการประชุม COP24 กล่าวว่า การเปิดการประชุมที่กรุงเทพฯ จัดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้นานาชาติสามารถสรุปหลักเกณฑ์ที่ภาคี 197 ประเทศจะปฏิบัติตามข้อตกลงปารีสปี 2558 เรื่องการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หากนานาชาติไม่สามารถสรุปหลักเกณฑ์ได้ภายในการประชุม COP-24 ที่โปแลนด์ ข้อตกลงปารีสก็จะหมดความน่าเชื่อถือ ทุกฝ่ายจึงต้องเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด ต้องมีข้อเสนอและทางออกที่เป็นรูปธรรมในเวลานี้






ข้อตกลงปารีสกำหนดไว้ว่า จะจัดสรรเงินปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับจากปีพ.ศ.2563 ให้แก่ประเทศยากจนที่เผชิญปัญหาน้ำท่วม คลื่นความร้อน ระดับน้ำทะเลสูง และพายุรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ประเทศยากจนต้องการให้จัดสรรเงินนี้ด้วยงบของรัฐ แต่ประเทศร่ำรวยต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสมทบและมีกำไรในการดำเนินโครงการ อีกทั้งประธานาธิบดีนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงและไม่ยอมจ่ายเงินที่รัฐบาลชุดก่อนรับปากไว้ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ข้อตกลงปารีสยังกำหนดไว้ว่า จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่นานาชาติรับปากเปิดทางให้อุณหภูมิโลกสูงเกินกว่า 3 องศาเซลเซียส)




สนธิสัญญาสิ่งแวดล้อม


สนธิสัญญาปารีส
ปัญหาโลกร้อนและภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งดูจะทวีความรุนแรง และปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เป็นปัญหาที่น่ากังวลและถือเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของโลกขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชาคมโลกจึงให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากอดีต และได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมาที่มีการจัดตั้งกลไกหลักภายใต้กรอบสหประชาชาติขึ้น 2 กลไก คือ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนธิสัญญาปารีสถือเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก ซึ่งภายหลังจากการประชุมกันที่กรุงปารีสข้างต้น ประเทศต่าง ๆ ได้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 ในพิธีลงนามความตกลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยได้ร่วมลงนามกับประเทศต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 180 ประเทศด้วย และต่อมา เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 71ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้มอบสัตยาบันสารเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาปารีสของไทยให้กับนายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติแล้วระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรม High-level Event on the Ratification of the Paris Agreement ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 ได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาปารีสแล้วมากกว่า 55 ประเทศ และคิดเป็นระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกินกว่าร้อยละ 55 ของโลก อันเป็นเงื่อนไขสองประการที่สนธิสัญญากำหนด ส่งผลให้สนธิสัญญาปารีสมีผลใช้บังคับภายในสามสิบวัน คือ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 



สนธิสัญญาโตเกียว
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 การเจรจาที่แสนยาวนานและสับสนเป็นเวลา 10 ปี ก็ได้มาถึงจุดสูงสุด โดยสนธิสัญญาโตเกียวได้ถูกประกาศใช้เป็นกฎหมาย ปัจจุบันประเทศอุตสาหกรรม 35 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรปมีพันธะผูกมัดตามกฎหมายในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนธิสัญญาโตเกียวซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกอย่างว่าเป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับภูมิอากาศของโลก คือ บันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับเดียวของโลกที่มีเป้าหมายผูกพัน คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลทั่วโลกต้องใช้เพื่อจัดการกับภาวะโลกร้อน พูดให้เฉพาะเจาะจงก็คือ พิธีสารฉบับนี้บังคับให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงพอประมาณ คือ 5% โดยเทียบกับระดับในพ.ศ. 2533 ภายในพ.ศ. 2551-2555 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ แต่ละประเทศต้องมีพันธะต่อเป้าหมายของแต่ละประเทศ คือ สหภาพยุโรป (15 ประเทศ) ที่ 8% ญี่ปุ่น ที่ 6% ฯลฯ เป้าหมายของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีต นอกจากเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศที่ผูกพันตามกฎหมายแล้วแล้ว สนธิสัญญาโตเกียวยังครอบคลุมถึงกลไกการค้าอันหลากหลายอีกด้วย การที่ปัจจุบันสนธิสัญญาโตเกียวเป็นกฎหมายแล้ว ทำให้ประเทศต่างๆ ที่กำลังเตรียมการปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ จะนำไปสู่ "ตลาด" คาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการค้าเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ภายในพ.ศ. 2550 และจะมีการดำเนินการ "กลไกยืดหยุ่น" ได้แก่ กลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM) และการนำไปปฏิบัติร่วมกัน (JI) "กลไกยืดหยุ่น" หรือ "มาตรการยืดหยุ่น" ซึ่งเป็นสาระสำคัญของพิธีสารฉบับนี้ หากถูกยกเลิก จะส่งผลให้ประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆ เต็มไปด้วยโครงการผลิตพลังงานจากแหล่งพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ และเป็นพลังงานที่ประเทศอื่นๆ เลิกใช้ไปแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม หากมาตรการยืดหยุ่นนี้ได้รับการปฎิบัติตามตามกฎเกณฑ์ ก็จะส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่พัฒนาแล้ว และหลั่งไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 





สนธิสัญญาริโอเดจาเนโร
องค์การสหประชาชาติโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1988 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อเตรียมมาตรการและกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปี ค.ศ. 1990 IPCC ได้จัดทำรายงานที่มีข้อสรุปยืนยันว่ากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจริง ประกอบกับในปีนั้นได้มีการจัดการประชุม Second World Climate Conference ขึ้น จึงทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของนานาประเทศ จึงริเริ่มและดำเนินการเพื่อจัดทำกรอบอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งได้สานต่อหลักการสำคัญ ๆ ของปฏิญญากรุงสต๊อกโฮล์มว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ค.ศ. 1972 เช่น การรับรองสิทธิอธิปไตยของรัฐตามกฎบัตรสหประชาชาติและตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของตน และกำหนดให้รัฐต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำให้แน่ใจว่ากิจกรรมภายในเขตอำนาจหรือการควบคุมของตนไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐอื่นหรือของบริเวณที่อยู่เลยออกไปจากเขตอำนาจแห่งชาติของตน และการปล่อยสารพิษหรือสารอื่นๆ และความร้อนในปริมาณหรือความหนาแน่นที่เกินกว่าขีดความสามารถของสิ่งแวดล้อมที่จะจัดการได้ ต้องหยุดกระทำเพื่อให้แน่ใจว่าความเสียหายร้ายแรงและที่ไม่สามารถแก้ไขได้จะไม่เกิดต่อระบบนิเวศ เป็นต้น กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ค.ศ. 1992  ได้รับการยอมรับในการประชุมที่สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 และเปิดให้ลงนามในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (United Nations Conference on Environment and Development) หรือการประชุมสุดยอดว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่กรุงริโอเดจาเนโร (Rio de Janeiro Earth Summit) สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2535 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2537


สนธิสัญญาโรม


สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009





ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป