มิโกะ
คือ หญิงสาวที่ทำงานอยู่ในศาลเจ้าชินโต ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นช่วงที่การนับถือเทพเจ้าและธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นยังแรงกล้า ชาวบ้านชาวเมืองนับถือเทพเจ้าและเข้าใจว่าเทพเจ้าบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น บางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น ความแห้งแล้ง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า ฯลฯ คนในสมัยก่อนต่างก็เชื่อว่าเป็นสารจากเทพเจ้าที่ส่งมาให้มนุษย์ได้รับรู้ บางครั้งอาจมารูปแบบสิ่งเหนือธรรมชาติก็ได้ ผู้ที่ทำการรับสารนั้นจากเทพเจ้านั้นจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เรียกว่า มิโกะ
คือ หญิงสาวที่ทำงานอยู่ในศาลเจ้าชินโต ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นช่วงที่การนับถือเทพเจ้าและธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นยังแรงกล้า ชาวบ้านชาวเมืองนับถือเทพเจ้าและเข้าใจว่าเทพเจ้าบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น บางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น ความแห้งแล้ง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า ฯลฯ คนในสมัยก่อนต่างก็เชื่อว่าเป็นสารจากเทพเจ้าที่ส่งมาให้มนุษย์ได้รับรู้ บางครั้งอาจมารูปแบบสิ่งเหนือธรรมชาติก็ได้ ผู้ที่ทำการรับสารนั้นจากเทพเจ้านั้นจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เรียกว่า มิโกะ
มิโกะในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะไม่ได้แต่งตัวเหมือนกับมิโกะที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนที่เราเห็นแต่งตัวเหมือนในปัจจุบันนั้นเป็นช่วงเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้ว ความเชื่อในเทพเจ้าและธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในสมัยนี้อาจเรียกรวมๆ ว่า สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของเทพนิยาย เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะรับสารจากเทพเจ้าจำเป็นต้องมีคนกลางระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ธรรมดา เราเรียกมนุษย์ที่ทำหน้าที่รับสารและแปลสารจากเทพเจ้าว่ามิโกะ มิโกะจะเป็นหญิงสาวพรหมจารี (ไม่ข้องแวะกับชายใด)
มิโกะนั้นมาจากหญิงสาวที่เกิดจากบุตรีของนักบวชที่อุทิศตนให้กับเทพเจ้าและศาลเจ้า (แต่ละศาลเจ้าจะมีเทพเจ้าประจำศาลเจ้า) ในสมัยโบราณหญิงสาวที่จะเป็นมิโกะนั้นจะได้รับสารบางอย่างจากเทพเจ้า และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเป็นส่วนของพิธีกรรมต่อไป
หน้าที่ของมิโกะ
มิโกะจะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะมาทำหน้าที่ หน้าที่นั้น ได้แก่ การดูแลความเรียบร้อยภายในศาลเจ้า การรำบูชาเทพเจ้าในงานเทศกาล หรือการช่วยงานนักบวชในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การแต่งงาน (ชาวญี่ปุ่นจะแต่งงานในพิธีชินโต) รวมไปถึงการทำนายอนาคตด้วย
ประเพณีและความเชื่อได้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน ชินโตเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นที่แยกกันไม่ออก แต่ในปัจจุบันวิถีได้มีการวิวัฒนาการ มิโกะส่วนหนึ่งมาจากพิธีกรรมที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ แต่มิโกะส่วนใหญ่มาจากการทำงานพิเศษ หรือมาจากอาสาสมัคร หน้าที่หลักๆของมิโกะเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ในขณะที่มิโกะเดิมจะมีภาระหน้าทีเหมือนเดิม
เครื่องแต่งกายของมิโกะ
เครื่องแต่งกายของมิโกะเรียกรวมๆว่า "จิฮายะ" ประกอบไปด้วย
- ฮากะม่าผู้หญิงสีแดง
- เสื้อกิโมโนสีขาว
- ทาบิสีขาว (ถุงเท้า)
- โซริ (รองเท้า)
- นอกจากนั้นอาจจะมี ฮาโอริ (เสื้อคลุมชั้นนอก) บางๆ และเครื่องประดับผม
พิธีชงชา หรือ ชาโนยุ
เป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรีย์ ประกอบด้วยการปรนนิบัติระหว่างการดื่มและการดื่มชาผงสีเขียวหรือมัทชา (matcha) การจัดการพบปะกันในวงสังคมเพื่อดื่มมัทชาได้แพร่หลายในบรรดาชนชั้นสูงนับตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 14 ต้นฉบับของพิธีชงชา รูปแบบของซะโดซึ่งปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ยุคนาระ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านชาคือ เซ็น โนะ ริคิว (Sen no Rikyu) ซะโดมีลักษณะที่เป็นแบบแผน ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็นซึ่งจุดประสงค์สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเรียบง่าย คือเพื่อทำวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติหัวใจแท้จริงของพิธีชงชาได้รับการบรรยายโดยคำต่าง ๆ เช่น ความสงบ ความเรียบง่าย ความสง่างาม และ สุนทรียศาสตร์แห่งความเรียบง่ายอันเข้มงวดและความยากจนที่ประณีตซะโดยังมีบทบาทสำคัญในด้านชีวิตด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น พิธีชงชาจะเกี่ยวข้องกับการชื่นชมห้องที่ประกอบพิธี ส่วนที่ติดอยู่ในห้องนั้น เครื่องใช้ในการชงชา เครื่องประดับบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีชงชา และความเป็นพิธีการที่ถือปฏิบัติในพิธีชงชาได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนามารยาทของชาวญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นพื้นฐาน ภายหลังที่เซ็น โนะ ริคิว ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1591 คำสั่งสอนของท่านได้ตกทอดมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนต่าง ๆ ขึ้น เช่นโรงเรียนอุระเซ็งเกะ ที่ดำเนินงานอย่างแข็งขันและมีศิษย์อยู่จำนวนมาก
เป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรีย์ ประกอบด้วยการปรนนิบัติระหว่างการดื่มและการดื่มชาผงสีเขียวหรือมัทชา (matcha) การจัดการพบปะกันในวงสังคมเพื่อดื่มมัทชาได้แพร่หลายในบรรดาชนชั้นสูงนับตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 14 ต้นฉบับของพิธีชงชา รูปแบบของซะโดซึ่งปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ยุคนาระ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านชาคือ เซ็น โนะ ริคิว (Sen no Rikyu) ซะโดมีลักษณะที่เป็นแบบแผน ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็นซึ่งจุดประสงค์สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเรียบง่าย คือเพื่อทำวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติหัวใจแท้จริงของพิธีชงชาได้รับการบรรยายโดยคำต่าง ๆ เช่น ความสงบ ความเรียบง่าย ความสง่างาม และ สุนทรียศาสตร์แห่งความเรียบง่ายอันเข้มงวดและความยากจนที่ประณีตซะโดยังมีบทบาทสำคัญในด้านชีวิตด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น พิธีชงชาจะเกี่ยวข้องกับการชื่นชมห้องที่ประกอบพิธี ส่วนที่ติดอยู่ในห้องนั้น เครื่องใช้ในการชงชา เครื่องประดับบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีชงชา และความเป็นพิธีการที่ถือปฏิบัติในพิธีชงชาได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนามารยาทของชาวญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นพื้นฐาน ภายหลังที่เซ็น โนะ ริคิว ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1591 คำสั่งสอนของท่านได้ตกทอดมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนต่าง ๆ ขึ้น เช่นโรงเรียนอุระเซ็งเกะ ที่ดำเนินงานอย่างแข็งขันและมีศิษย์อยู่จำนวนมาก
อุปกรณ์ในพิธีชงชา
1.อุปกรณ์ที่สำคัญในพิธีชงชา ตามด้างล่างนี้ ผ้า2ชั้นที่ไว้คลุมและเช่นทำความสะอาดอุปกรณ์
2.กระดาษ “ไคชิ” กระดาษญี่ปุ่นไว้รองขนมหวาน ใช้แทนจาน เมื่อดื่มชาหมดแล้ว ให้ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ เช็ดขอบถ้วยชา แล้วจึงใช้นิ้วนั้นเช็ดที่กระดาษไคชิ เพื่อทำความสะอาด ในกรณีที่ชาเข้มข้น ใช้กระดาษไคชิปาดตรงขอบถ้วยชา อีกทั้งหากทานขนมหวานไม่หมด สามารถใช้กระดาษไคชิห่อขนมที่ทานเหลือได้
3.นัทสึเมะ โถใส่ผงชามัตชะ
4.ชะอิเระ โถใส่ชา ทำมาจากเซรามิก
5.ชะฉะคุ ช้อนตักชา โดยทั่วไปทำจากไม้ไผ่ มีลักษณะยาว ปลายแหลมเล็ก
6.ชะเซน อุปกรณ์ที่คนชาให้เข้ากัน โดยการเติมน้ำร้อนลงในถ้วยชา แล้วใช้ชะเซนคนลงตรงกลางถ้วย คนให้ผงชาละลายจนทั่ว
7.ชะคิง ผ้าที่ทำจากป่าน ไว้เช็ดทำความสะอาดถ้วยชา
8.ชะวัง ถ้วยชาที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ แตกต่างขึ้นอยู่กับฤดูและพิธี
9.ฮิชะคุ อุปกรณ์ไว้ตักน้ำชงชา ในฤดูร้อนจะมีขนาดเล็ก ในฤดูหนาวจะมีขนาดใหญ่ ขนาดแตกต่างกันไปตามฤดู
10.ชะคะมะ กาน้ำสำหรับต้มน้ำใส่ชา
11.ภาพแขวนผนัง จะเป็นภาพวาดหรือตัวอักษรก็ได้ จะแขวนไว้ที่ “โทโคโนมะ”(เป็นส่วนที่ยกขึ้นสูงเล็กน้อย ไว้ประดับภาพแขวน หรือ วางแจกันดอกไม้ ) ในห้องชงชา
12.แจกันดอกไม้ ไว้สำหรับตกแต่งดอกไม้ จะวางประดับไว้ที่ “โทโคโนมะ”เช่นกัน
ขั้นตอน
1.ใช้ชะฉะคุ ตักผงชาจากโถใส่ชาลงในถ้วยชา
2.ใช้กระบวยตักน้ำ ตักน้ำร้อนใส่ถ้วยชา
3.ใช้ชะเซนคนชาให้เข้ากัน
4.สำหรับแขกผู้ดื่มชา จะจับถ้วยชาด้วยมือขวา โดยแบมือซ้ายเพื่อวางถ้วยชา
5.โดยการหมุนถ้วยชาไปตามเข็มนาฬิกา แล้วค่อยดื่ม
6.หลังจากดื่มชาแล้ว เช็ดขอบถ้วยตรงบริเวณที่ดื่ม แล้วหมุนถ้วยขาทวนเข็มนาฬิกา 3ครั้ง แล้วจึงวางถ้วยชาเพื่อส่งคืน
เทศกาลธงปลาคาร์ฟ
โนโบริ (Koinobori) หรือธงรูปปลาคาร์ฟถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (Boy’s festival) หรือวันเด็กซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม หากบ้านไหนมีลูกชายก็มีการประดับธงรูปปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้าน โดยธงจะประกอบด้วยปลาพ่อ (สีดำ) ปลาแม่ (สีแดง) และปลาลูก (สีฟ้า) บางบ้านก็ประดับเพิ่มจำนวนปลาสีส้ม เขียวและม่วงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน เหตุที่ประดับธงรูปปลาคาร์ฟเนื่องมาจากความเชื่อตามเรื่องเล่าของจีนว่าปลาคาร์ฟนั้นสามารถว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำฮวงโหได้จนกลายเป็นมังกร ชาวญี่ปุ่นจึงอยากให้ลูกชายมีจิตใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิตอย่างไม่ย่อท้อเหมือนดั่งปลาคาร์ฟ
ในสมัยโบราณวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติถูกจัดเป็นวันเทศกาลเด็กผู้ชายและถูกเรียกว่าวัน Tango no Sekku แต่พอญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินสมัยใหม่เทศกาลเด็กผู้ชายได้ถูกกำหนดให้เป็นวันที่ 5 พฤษภาคม จนกระทั่งปี 1948 เป็นต้นมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 5 พฤษภาคม เป็นวันเด็ก (Kodomonohi) เพื่อเฉลิมฉลองความสุขของเด็กทั้งประเทศและให้นึกขอบคุณมารดาผู้ให้กำเนิด
กิจกรรมสำคัญในวันเทศกาลเด็กผู้ชายหรือวันเด็ก
-วันเด็กเป็นวันฉลองความสุขของเด็กทั้งประเทศและเป็นวันที่ภาวนาให้ลูกชายมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากการประดับธงรูปปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้านแล้วก็มีการจัดพิธีบูชาตุ๊กตา โกะงัสสึ นิงเงียว ซึ่งแปลทับศัพท์ว่าตุ๊กตาแห่งเดือนพฤษภาคม โดยตุ๊กตาที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายหรือเด็กผู้ชายผู้มีความกล้าหาญในตำนานหรือนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เช่น คินทาโร่, อุชิวากะมารุและเบงเค เป็นต้น รวมไปถึงการประดับชุดเกราะและหมวกซามูไร จุดประสงค์ของการบูชาตุ๊กตาเพื่อคุ้มครองปกป้องเด็กจากสิ่งชั่วร้ายและภัยอันตรายต่างๆ ตุ๊กตาเด็กผู้ชายถูกนำมาวางบูชาประมาณหนึ่งเดือนก่อนถึงวันเด็กและจะถูกเก็บภายใน 2-5 วันหลังจากวันเด็กโดยถือเคล็ดว่าต้องเก็บในวันที่อากาศดีเพื่อให้เด็กชายมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ป่วยไข้
-การกินโมจิไส้ถั่วแดงบดที่ห่อด้วยใบโอ๊ก (Kashiwa mochi) ทั้งนี้ต้นโอ๊กหรือคาชิวะเป็นไม้ที่ไม่ผลัดใบจนกว่ายอดอ่อนจะแตกขึ้นมา คนญี่ปุ่นจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของผู้สืบสกุล
-การจัดกิจกรรมต่างๆให้เด็กเข้าร่วม เช่น กิจกรรมของเด็กตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล อนุบาล และประถมในช่วงปลายเดือนเมษายนคือ การผลิตรูปปลาคาร์ฟและหมวกซามูไรโดยความง่ายยากขึ้นกับระดับชั้น ก่อนวันหยุดยาวสำคัญช่วงสัปดาห์ทองโรงเรียนจะจัดงานวันเด็กให้เด็กร่วมร้องเพลงประจำวันเด็ก กินโมจิที่ห่อด้วยใบโอ๊กและนำงานประดิษฐ์กลับบ้าน นอกจากนี้ในวันเด็กก็จะมีการจัดงานสำคัญตามสถานที่ต่างๆให้เด็กเข้าร่วมสร้างความสนุกและความสุขที่ประทับใจวันหนึ่งให้แก่เด็กๆ
ชุดกิโมโน
คำว่า กิโมโน (kimono) ถ้าแปลตามตัวแล้วหมายถึง เสื้อผ้า ถือได้ว่าเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น สามารถสวมใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีลักษณะพิเศษตรงที่ชายเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีผ้าแพรพันสะเอว (obi) ต่างกับชุดที่เป็นเสื้อผ้าของตะวันตก (yofuku) อย่างชัดเจน ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ
ตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือ ค.ศ. 794-1192(ประมาณ พ.ศ. 1337-1735) ก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นสมัยนารา(ค.ศ. 710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย พอมาถึงสมัยเฮอันซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ อีกทั้งยังเป็นที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ถ้าฤดูหนาวใช้ผ้าหนา ถ้าฤดูร้อนใช้ผ้าบางๆความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ผู้ตัดเย็บจะคิดค้นหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสันผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
ต่อมาในยุคเอโดะ(ค.ศ. 1600-1868) ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่า ชุดเครื่องแบบ ชุดที่ใส่นี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือชุดกิโมโน ชุดคามิชิโมตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง กางเกงขายาวที่ดูเหมือนชุดกระโปรงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี๊ยบมากนับเป็นผลงานศิลปะอีกชิ้นหนึ่ง
สมัยต่อมาในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868- 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติจึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดสากลมากขึ้น และจะใส่ชุดกิโมโนที่เป็นงานพิธีการเท่านั้น
ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบสากล ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ งานฉลองบรรลุนิติภาวะ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถสวมชุดกิโมโนได้เองมีน้อย ถึงขนาดจัดเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของการเตรียมตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว ของสตรีญี่ปุ่น
ลักษณะของชุดกิโมโน
กิโมโนประกอบด้วยเสื้อนางางิ ซึ่งมีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวที่มีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ ซึ่งใช้รัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่ ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัดส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมาก