วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญาและข้อตกลง

สนธิสัญญา (treaty)
เป็นข้อตกลงเฉพาะหน้าภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศซึ่งเข้าทำสัญญาโดยตัวแสดงในกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ รัฐเอกราชและองค์การระหว่างประเทศ สนธิสัญญาทวิภาคีทำระหว่างสองรัฐหรือองค์การ อย่างไรก็ดี เป็นไปได้ว่าสนธิสัญญาทวิภาคีอาจมีภาคีมากกว่าสอง ตัวอย่างเช่น พิจารณาสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับสหภาพยุโรปหลังการปฏิเสธความตกลงพื้นที่เศรษฐกิจยุโรปของสวิสเซอร์แลนด์ สนธิสัญญาแต่ละฉบับมีภาคีสิบเจ็ดประเทศ แต่สนธิสัญญาเหล่านี้ก็ยังเป็นสนธิสัญญาทวิภาคี มิใช่พหุภาคี ภาคีแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม สวิตเซอร์แลนด์ ("ฝ่ายหนึ่ง") กับสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิก ("อีกฝ่ายหนึ่ง") สนธิสัญญาก่อตั้งสิทธิและข้อผูกมัดระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกอย่างหลากหลาย ซึ่งมิได้สถาปนาสิทธิและข้อผูกมัดใด ๆ ระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิก





ข้อตกลง (Agreement)
เอกสารหรือตราสารที่ตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไปทำข้อตกลงร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่งว่า แต่ละฝ่ายจะปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดระหว่างกัน โดยอาจจัดทำระหว่างรัฐกับรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างหน่วยงานภายในประเทศกับหน่วยงานต่างประเทศก็ได้ ความตกลงระหว่างประเทศที่จัดทำขึ้นระหว่างรัฐกับรัฐ หรือระหว่างรัฐกับองค์การระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์การระหว่างประเทศกับองค์การระหว่างประเทศ อาจมีสถานะเป็นสนธิสัญญา (treaty) ที่มีผลผูกพันภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศก็ได้ ขึ้นกับเจตนาของภาคี ทั้งนี้ “สนธิสัญญา (Treaty)” เป็นชื่อเรียกโดยทั่วไป ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ใช้คำว่า “หนังสือสัญญา” ซึ่งหมายถึงสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง สนธิสัญญาอาจใช้ชื่อเรียกอื่นได้หลายชื่อ เช่น ความตกลง (Agreement) พิธีสาร (Protocol) บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MoU) เป็นต้






COP24

COP24(Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention)หรือ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 24 หรือ COP24 เริ่มขึ้นแล้ว โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิกเกือบ 200 ประเทศเข้าร่วมการประชุม ระหว่างวันที่ 3 - 14 ธันวาคม 2561 ณ เมืองคาโตวีตเซ สาธารณรัฐโปแลนด์ การประชุมใหญ่ระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในเวทีนี้ มีวาระสำคัญคือ การออกกฎกติกาใหม่ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามข้อตกลงปารีส ปี 2015 (พ.ศ.2558)







ทั้งนี้ มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวไทยในวันเปิดการประชุมที่กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 4-9 กันยายนที่ผ่านมาว่า นายมีเคล กูร์ตีกา ว่าที่ประธานการประชุม COP24 กล่าวว่า การเปิดการประชุมที่กรุงเทพฯ จัดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้นานาชาติสามารถสรุปหลักเกณฑ์ที่ภาคี 197 ประเทศจะปฏิบัติตามข้อตกลงปารีสปี 2558 เรื่องการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว หากนานาชาติไม่สามารถสรุปหลักเกณฑ์ได้ภายในการประชุม COP-24 ที่โปแลนด์ ข้อตกลงปารีสก็จะหมดความน่าเชื่อถือ ทุกฝ่ายจึงต้องเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด ต้องมีข้อเสนอและทางออกที่เป็นรูปธรรมในเวลานี้






ข้อตกลงปารีสกำหนดไว้ว่า จะจัดสรรเงินปีละ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นับจากปีพ.ศ.2563 ให้แก่ประเทศยากจนที่เผชิญปัญหาน้ำท่วม คลื่นความร้อน ระดับน้ำทะเลสูง และพายุรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ประเทศยากจนต้องการให้จัดสรรเงินนี้ด้วยงบของรัฐ แต่ประเทศร่ำรวยต้องการให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมสมทบและมีกำไรในการดำเนินโครงการ อีกทั้งประธานาธิบดีนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศถอนสหรัฐออกจากข้อตกลงและไม่ยอมจ่ายเงินที่รัฐบาลชุดก่อนรับปากไว้ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ข้อตกลงปารีสยังกำหนดไว้ว่า จะจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส แต่สิ่งที่นานาชาติรับปากเปิดทางให้อุณหภูมิโลกสูงเกินกว่า 3 องศาเซลเซียส)




สนธิสัญญาสิ่งแวดล้อม


สนธิสัญญาปารีส
ปัญหาโลกร้อนและภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งดูจะทวีความรุนแรง และปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก เป็นปัญหาที่น่ากังวลและถือเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของโลกขณะนี้ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประชาคมโลกจึงให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากอดีต และได้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางแก้ไข โดยเฉพาะนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมาที่มีการจัดตั้งกลไกหลักภายใต้กรอบสหประชาชาติขึ้น 2 กลไก คือ กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สนธิสัญญาปารีสถือเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งของการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศของประชาคมโลก ซึ่งภายหลังจากการประชุมกันที่กรุงปารีสข้างต้น ประเทศต่าง ๆ ได้มารวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2559 ในพิธีลงนามความตกลงอย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยได้ร่วมลงนามกับประเทศต่าง ๆ จำนวนมากกว่า 180 ประเทศด้วย และต่อมา เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 71ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้มอบสัตยาบันสารเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาปารีสของไทยให้กับนายบัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติแล้วระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรม High-level Event on the Ratification of the Paris Agreement ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2559 ได้มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาปารีสแล้วมากกว่า 55 ประเทศ และคิดเป็นระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันเกินกว่าร้อยละ 55 ของโลก อันเป็นเงื่อนไขสองประการที่สนธิสัญญากำหนด ส่งผลให้สนธิสัญญาปารีสมีผลใช้บังคับภายในสามสิบวัน คือ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2559 



สนธิสัญญาโตเกียว
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 การเจรจาที่แสนยาวนานและสับสนเป็นเวลา 10 ปี ก็ได้มาถึงจุดสูงสุด โดยสนธิสัญญาโตเกียวได้ถูกประกาศใช้เป็นกฎหมาย ปัจจุบันประเทศอุตสาหกรรม 35 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรปมีพันธะผูกมัดตามกฎหมายในการจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สนธิสัญญาโตเกียวซึ่งเป็นที่รู้จักกันอีกอย่างว่าเป็นสนธิสัญญาเกี่ยวกับภูมิอากาศของโลก คือ บันทึกข้อตกลงระหว่างประเทศฉบับเดียวของโลกที่มีเป้าหมายผูกพัน คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นมันจึงเป็นเครื่องมือหลักที่รัฐบาลทั่วโลกต้องใช้เพื่อจัดการกับภาวะโลกร้อน พูดให้เฉพาะเจาะจงก็คือ พิธีสารฉบับนี้บังคับให้ประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงพอประมาณ คือ 5% โดยเทียบกับระดับในพ.ศ. 2533 ภายในพ.ศ. 2551-2555 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ แต่ละประเทศต้องมีพันธะต่อเป้าหมายของแต่ละประเทศ คือ สหภาพยุโรป (15 ประเทศ) ที่ 8% ญี่ปุ่น ที่ 6% ฯลฯ เป้าหมายของแต่ละประเทศกำหนดขึ้นจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีต นอกจากเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศที่ผูกพันตามกฎหมายแล้วแล้ว สนธิสัญญาโตเกียวยังครอบคลุมถึงกลไกการค้าอันหลากหลายอีกด้วย การที่ปัจจุบันสนธิสัญญาโตเกียวเป็นกฎหมายแล้ว ทำให้ประเทศต่างๆ ที่กำลังเตรียมการปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ จะนำไปสู่ "ตลาด" คาร์บอนไดออกไซด์สำหรับการค้าเพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ภายในพ.ศ. 2550 และจะมีการดำเนินการ "กลไกยืดหยุ่น" ได้แก่ กลไกการพัฒนาที่สะอาด (CDM) และการนำไปปฏิบัติร่วมกัน (JI) "กลไกยืดหยุ่น" หรือ "มาตรการยืดหยุ่น" ซึ่งเป็นสาระสำคัญของพิธีสารฉบับนี้ หากถูกยกเลิก จะส่งผลให้ประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆ เต็มไปด้วยโครงการผลิตพลังงานจากแหล่งพลังงานที่ก่อให้เกิดมลพิษ และเป็นพลังงานที่ประเทศอื่นๆ เลิกใช้ไปแล้ว แต่ในทางตรงกันข้าม หากมาตรการยืดหยุ่นนี้ได้รับการปฎิบัติตามตามกฎเกณฑ์ ก็จะส่งผลให้เกิดการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่พัฒนาแล้ว และหลั่งไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 





สนธิสัญญาริโอเดจาเนโร
องค์การสหประชาชาติโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ได้จัดตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1988 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อเตรียมมาตรการและกลยุทธ์ที่เป็นไปได้ในการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปี ค.ศ. 1990 IPCC ได้จัดทำรายงานที่มีข้อสรุปยืนยันว่ากิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจริง ประกอบกับในปีนั้นได้มีการจัดการประชุม Second World Climate Conference ขึ้น จึงทำให้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของนานาประเทศ จึงริเริ่มและดำเนินการเพื่อจัดทำกรอบอนุสัญญาฉบับนี้ ซึ่งได้สานต่อหลักการสำคัญ ๆ ของปฏิญญากรุงสต๊อกโฮล์มว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ ค.ศ. 1972 เช่น การรับรองสิทธิอธิปไตยของรัฐตามกฎบัตรสหประชาชาติและตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรตามนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของตน และกำหนดให้รัฐต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำให้แน่ใจว่ากิจกรรมภายในเขตอำนาจหรือการควบคุมของตนไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมของรัฐอื่นหรือของบริเวณที่อยู่เลยออกไปจากเขตอำนาจแห่งชาติของตน และการปล่อยสารพิษหรือสารอื่นๆ และความร้อนในปริมาณหรือความหนาแน่นที่เกินกว่าขีดความสามารถของสิ่งแวดล้อมที่จะจัดการได้ ต้องหยุดกระทำเพื่อให้แน่ใจว่าความเสียหายร้ายแรงและที่ไม่สามารถแก้ไขได้จะไม่เกิดต่อระบบนิเวศ เป็นต้น กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ค.ศ. 1992  ได้รับการยอมรับในการประชุมที่สำนักงานใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ กรุงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 และเปิดให้ลงนามในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (United Nations Conference on Environment and Development) หรือการประชุมสุดยอดว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ที่กรุงริโอเดจาเนโร (Rio de Janeiro Earth Summit) สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2535 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2537


สนธิสัญญาโรม


สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียม ฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009





ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป





สนธิสัญญาcites


สนธิสัญญาcites(Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หรือเรียกโดยย่อว่า ไซเตส (CITES) และเป็นที่รู้จักในชื่อ อนุสัญญากรุงวอชิงตัน (Washington Convention) เป็นสนธิสัญญาซึ่งเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ในปี พ.ศ. 2516 สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ ได้จัดการประชุมนานาชาติขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่างอนุสัญญาดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมประชุม 88 ประเทศ แต่มีผู้ลงนามรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ทันทีเพียง 22 ประเทศ สำหรับประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย แต่มาลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ. 2518 และให้สัตยาบันในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2526 นับเป็นสมาชิกลำดับที่ 80 ปัจจุบัน ไซเตสมีภาคีทั้งสิ้น 181 รัฐ (พฤษภาคม 2558)




เป้าหมายของไซเตส คือ การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือถูกคุกคาม ทำให้ปริมาณร่อยหรอจนอาจเป็นเหตุให้สูญพันธุ์ วิธีการอนุรักษ์กระทำโดยการสร้างเครือข่ายทั่วโลกในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งสัตว์ป่า พืชป่า และผลิตภัณฑ์ ไซเตสไม่ควบคุมการค้าภายในประเทศสำหรับชนิดพันธุ์ท้องถิ่น การค้าสัตว์ป่า พืชป่า และผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ จะถูกควบคุมโดยระบบใบอนุญาต ซึ่งสัตว์ป่าและพืชป่าที่อนุสัญญาควบคุมจะต้องมีใบอนุญาตในการนำเข้า ส่งออก  นำผ่าน และส่งกลับออกไป โดยชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่อนุสัญญาควบคุม จะระบุไว้ในบัญชีหมายเลข 1, 2, 3 ของอนุสัญญา โดยได้กำหนดหลักการไว้ดังนี้





ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 1
ปลาตะพัด เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ห้ามค้าโดยเด็ดขาด เนื่องจากใกล้จะสูญพันธุ์ ยกเว้นเพื่อการศึกษา วิจัยหรือเพาะพันธุ์ ซึ่งต้องได้รับคำยินยอมจากประเทศที่จะนำเข้าเสียก่อน ประเทศส่งออกจึงจะออกใบอนุญาตส่งออกได้ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของชนิดพันธุ์นั้น ๆ ด้วย ตัวอย่างของสัตว์ป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ แพนด้าแดง กอริลลา ชิมแปนซี เสือ สิงโตอินเดีย เสือดาว เสือจากัวร์ เสือชีตาห์ ช้างเอเชีย ช้างแอฟริกา พะยูนและแมนนาที (อันดับพะยูน) สกุลแรด ปลาตะพัด  ปลายี่สก เป็นต้น ตัวอย่างของพืชป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ เอื้องปากนกแก้ว





ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 2
เป็นชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ยังไม่ถึงกับใกล้จะสูญพันธุ์ จึงยังอนุญาตให้ค้าได้ แต่ต้องมีการควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็วจนใกล้จะสูญพันธุ์ โดยประเทศที่จะส่งออกต้องออกหนังสืออนุญาตให้ส่งออกและรับรองว่าการส่งออกหนังสืออนุญาตให้ส่งออกและรับรองว่าการส่งออกแต่ละครั้ง จะไม่กระทบกระเทือนต่อการดำรงอยู่ของชนิดพันธุ์นั้นในธรรมชาติ ตัวอย่างของสัตว์ป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ ปลาฉลามขาว หมีดำ ม้าลายภูเขาฮาร์นมันน์ นกแก้วจักจั่น อีกัวนาเขียว หอยสังข์ราชินี ปลาฉลามปากเป็ดมิสซิสซิปปี เป็นต้น ตัวอย่างของพืชป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ แก้วเจ้าจอม พะยูง




ชนิดพันธุ์ในบัญชีหมายเลข 3
เป็นชนิดพันธุ์ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศใดประเทศหนึ่งแล้วขอความร่วมมือประเทศภาคีสมาชิกให้ช่วยดูแลการนำเข้า คือจะต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก จากประเทศถิ่นกำเนิด ตัวอย่างของสัตว์ป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ สลอธ 2 นิ้ว ชะมดแอฟริกา เต่าอัลลิเกเตอร์ ตัวอย่างของพืชป่า ที่อยู่ในบัญชีนี้ได้แก่ เมื่อยขาว




วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประเทศญี่ปุ่น

มิโกะ
 คือ หญิงสาวที่ทำงานอยู่ในศาลเจ้าชินโต ในช่วงก่อนประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเป็นช่วงที่การนับถือเทพเจ้าและธรรมชาติของชาวญี่ปุ่นยังแรงกล้า ชาวบ้านชาวเมืองนับถือเทพเจ้าและเข้าใจว่าเทพเจ้าบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น บางสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น ความแห้งแล้ง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฟ้าผ่า ฯลฯ คนในสมัยก่อนต่างก็เชื่อว่าเป็นสารจากเทพเจ้าที่ส่งมาให้มนุษย์ได้รับรู้ บางครั้งอาจมารูปแบบสิ่งเหนือธรรมชาติก็ได้ ผู้ที่ทำการรับสารนั้นจากเทพเจ้านั้นจะเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่เรียกว่า มิโกะ
มิโกะในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นจะไม่ได้แต่งตัวเหมือนกับมิโกะที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนที่เราเห็นแต่งตัวเหมือนในปัจจุบันนั้นเป็นช่วงเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์แล้ว ความเชื่อในเทพเจ้าและธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย ในสมัยนี้อาจเรียกรวมๆ ว่า สร้างขึ้นมาบนพื้นฐานของเทพนิยาย เมื่อเป็นเช่นนั้นการจะรับสารจากเทพเจ้าจำเป็นต้องมีคนกลางระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ธรรมดา เราเรียกมนุษย์ที่ทำหน้าที่รับสารและแปลสารจากเทพเจ้าว่ามิโกะ มิโกะจะเป็นหญิงสาวพรหมจารี (ไม่ข้องแวะกับชายใด)


 ที่มาของมิโกะ
มิโกะนั้นมาจากหญิงสาวที่เกิดจากบุตรีของนักบวชที่อุทิศตนให้กับเทพเจ้าและศาลเจ้า (แต่ละศาลเจ้าจะมีเทพเจ้าประจำศาลเจ้า) ในสมัยโบราณหญิงสาวที่จะเป็นมิโกะนั้นจะได้รับสารบางอย่างจากเทพเจ้า และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็จะเป็นส่วนของพิธีกรรมต่อไป






หน้าที่ของมิโกะ 
มิโกะจะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะมาทำหน้าที่ หน้าที่นั้น ได้แก่ การดูแลความเรียบร้อยภายในศาลเจ้า การรำบูชาเทพเจ้าในงานเทศกาล หรือการช่วยงานนักบวชในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การแต่งงาน (ชาวญี่ปุ่นจะแต่งงานในพิธีชินโต) รวมไปถึงการทำนายอนาคตด้วย
ประเพณีและความเชื่อได้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน ชินโตเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนญี่ปุ่นที่แยกกันไม่ออก แต่ในปัจจุบันวิถีได้มีการวิวัฒนาการ มิโกะส่วนหนึ่งมาจากพิธีกรรมที่สืบต่อกันมาแต่โบราณ แต่มิโกะส่วนใหญ่มาจากการทำงานพิเศษ หรือมาจากอาสาสมัคร หน้าที่หลักๆของมิโกะเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม ในขณะที่มิโกะเดิมจะมีภาระหน้าทีเหมือนเดิม







เครื่องแต่งกายของมิโกะ 
เครื่องแต่งกายของมิโกะเรียกรวมๆว่า "จิฮายะ" ประกอบไปด้วย
  • ฮากะม่าผู้หญิงสีแดง
  • เสื้อกิโมโนสีขาว
  • ทาบิสีขาว (ถุงเท้า)
  • โซริ (รองเท้า)
  • นอกจากนั้นอาจจะมี ฮาโอริ (เสื้อคลุมชั้นนอก) บางๆ และเครื่องประดับผม










พิธีชงชา หรือ ชาโนยุ 
เป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรีย์ ประกอบด้วยการปรนนิบัติระหว่างการดื่มและการดื่มชาผงสีเขียวหรือมัทชา (matcha) การจัดการพบปะกันในวงสังคมเพื่อดื่มมัทชาได้แพร่หลายในบรรดาชนชั้นสูงนับตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 14 ต้นฉบับของพิธีชงชา รูปแบบของซะโดซึ่งปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ยุคนาระ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านชาคือ เซ็น โนะ ริคิว (Sen no Rikyu) ซะโดมีลักษณะที่เป็นแบบแผน ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็นซึ่งจุดประสงค์สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดเรียบง่าย คือเพื่อทำวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติหัวใจแท้จริงของพิธีชงชาได้รับการบรรยายโดยคำต่าง ๆ เช่น ความสงบ ความเรียบง่าย ความสง่างาม และ สุนทรียศาสตร์แห่งความเรียบง่ายอันเข้มงวดและความยากจนที่ประณีตซะโดยังมีบทบาทสำคัญในด้านชีวิตด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น พิธีชงชาจะเกี่ยวข้องกับการชื่นชมห้องที่ประกอบพิธี ส่วนที่ติดอยู่ในห้องนั้น เครื่องใช้ในการชงชา เครื่องประดับบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีชงชา และความเป็นพิธีการที่ถือปฏิบัติในพิธีชงชาได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนามารยาทของชาวญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นพื้นฐาน ภายหลังที่เซ็น โนะ ริคิว ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1591 คำสั่งสอนของท่านได้ตกทอดมาจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่น ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนต่าง ๆ ขึ้น เช่นโรงเรียนอุระเซ็งเกะ ที่ดำเนินงานอย่างแข็งขันและมีศิษย์อยู่จำนวนมาก








อุปกรณ์ในพิธีชงชา
1.อุปกรณ์ที่สำคัญในพิธีชงชา ตามด้างล่างนี้ ผ้า2ชั้นที่ไว้คลุมและเช่นทำความสะอาดอุปกรณ์
2.กระดาษ “ไคชิ” กระดาษญี่ปุ่นไว้รองขนมหวาน ใช้แทนจาน เมื่อดื่มชาหมดแล้ว ให้ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ เช็ดขอบถ้วยชา แล้วจึงใช้นิ้วนั้นเช็ดที่กระดาษไคชิ เพื่อทำความสะอาด ในกรณีที่ชาเข้มข้น ใช้กระดาษไคชิปาดตรงขอบถ้วยชา อีกทั้งหากทานขนมหวานไม่หมด สามารถใช้กระดาษไคชิห่อขนมที่ทานเหลือได้
3.นัทสึเมะ โถใส่ผงชามัตชะ
4.ชะอิเระ โถใส่ชา ทำมาจากเซรามิก
5.ชะฉะคุ ช้อนตักชา โดยทั่วไปทำจากไม้ไผ่ มีลักษณะยาว ปลายแหลมเล็ก
6.ชะเซน อุปกรณ์ที่คนชาให้เข้ากัน โดยการเติมน้ำร้อนลงในถ้วยชา แล้วใช้ชะเซนคนลงตรงกลางถ้วย คนให้ผงชาละลายจนทั่ว
7.ชะคิง ผ้าที่ทำจากป่าน ไว้เช็ดทำความสะอาดถ้วยชา
8.ชะวัง ถ้วยชาที่มีรูปร่างขนาดใหญ่ แตกต่างขึ้นอยู่กับฤดูและพิธี
9.ฮิชะคุ อุปกรณ์ไว้ตักน้ำชงชา ในฤดูร้อนจะมีขนาดเล็ก ในฤดูหนาวจะมีขนาดใหญ่ ขนาดแตกต่างกันไปตามฤดู
10.ชะคะมะ กาน้ำสำหรับต้มน้ำใส่ชา
11.ภาพแขวนผนัง จะเป็นภาพวาดหรือตัวอักษรก็ได้ จะแขวนไว้ที่ “โทโคโนมะ”(เป็นส่วนที่ยกขึ้นสูงเล็กน้อย ไว้ประดับภาพแขวน หรือ วางแจกันดอกไม้ ) ในห้องชงชา
12.แจกันดอกไม้ ไว้สำหรับตกแต่งดอกไม้ จะวางประดับไว้ที่ “โทโคโนมะ”เช่นกัน




ขั้นตอน
1.ใช้ชะฉะคุ ตักผงชาจากโถใส่ชาลงในถ้วยชา
2.ใช้กระบวยตักน้ำ ตักน้ำร้อนใส่ถ้วยชา
3.ใช้ชะเซนคนชาให้เข้ากัน
4.สำหรับแขกผู้ดื่มชา จะจับถ้วยชาด้วยมือขวา โดยแบมือซ้ายเพื่อวางถ้วยชา
5.โดยการหมุนถ้วยชาไปตามเข็มนาฬิกา แล้วค่อยดื่ม
6.หลังจากดื่มชาแล้ว เช็ดขอบถ้วยตรงบริเวณที่ดื่ม แล้วหมุนถ้วยขาทวนเข็มนาฬิกา 3ครั้ง แล้วจึงวางถ้วยชาเพื่อส่งคืน












เทศกาลธงปลาคาร์ฟ
โนโบริ (Koinobori) หรือธงรูปปลาคาร์ฟถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในวันเทศกาลเด็กผู้ชาย (Boy’s festival) หรือวันเด็กซึ่งตรงกับวันที่ 5 พฤษภาคม หากบ้านไหนมีลูกชายก็มีการประดับธงรูปปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้าน โดยธงจะประกอบด้วยปลาพ่อ (สีดำ) ปลาแม่ (สีแดง) และปลาลูก (สีฟ้า) บางบ้านก็ประดับเพิ่มจำนวนปลาสีส้ม เขียวและม่วงตามจำนวนสมาชิกในบ้าน เหตุที่ประดับธงรูปปลาคาร์ฟเนื่องมาจากความเชื่อตามเรื่องเล่าของจีนว่าปลาคาร์ฟนั้นสามารถว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำฮวงโหได้จนกลายเป็นมังกร ชาวญี่ปุ่นจึงอยากให้ลูกชายมีจิตใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิตอย่างไม่ย่อท้อเหมือนดั่งปลาคาร์ฟ







ความสำคัญของวันเด็ก
ในสมัยโบราณวันที่ เดือน ตามปฏิทินจันทรคติถูกจัดเป็นวันเทศกาลเด็กผู้ชายและถูกเรียกว่าวัน Tango no Sekku แต่พอญี่ปุ่นเปลี่ยนมาใช้ปฏิทินสมัยใหม่เทศกาลเด็กผู้ชายได้ถูกกำหนดให้เป็นวันที่ พฤษภาคม จนกระทั่งปี 1948 เป็นต้นมารัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ พฤษภาคม เป็นวันเด็ก (Kodomonohi) เพื่อเฉลิมฉลองความสุขของเด็กทั้งประเทศและให้นึกขอบคุณมารดาผู้ให้กำเนิด







กิจกรรมสำคัญในวันเทศกาลเด็กผู้ชายหรือวันเด็ก
-วันเด็กเป็นวันฉลองความสุขของเด็กทั้งประเทศและเป็นวันที่ภาวนาให้ลูกชายมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากการประดับธงรูปปลาคาร์ฟไว้หน้าบ้านแล้วก็มีการจัดพิธีบูชาตุ๊กตา โกะงัสสึ นิงเงียว ซึ่งแปลทับศัพท์ว่าตุ๊กตาแห่งเดือนพฤษภาคม โดยตุ๊กตาที่นิยมส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายหรือเด็กผู้ชายผู้มีความกล้าหาญในตำนานหรือนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น เช่น คินทาโร่อุชิวากะมารุและเบงเค เป็นต้น รวมไปถึงการประดับชุดเกราะและหมวกซามูไร จุดประสงค์ของการบูชาตุ๊กตาเพื่อคุ้มครองปกป้องเด็กจากสิ่งชั่วร้ายและภัยอันตรายต่างๆ ตุ๊กตาเด็กผู้ชายถูกนำมาวางบูชาประมาณหนึ่งเดือนก่อนถึงวันเด็กและจะถูกเก็บภายใน 2-5 วันหลังจากวันเด็กโดยถือเคล็ดว่าต้องเก็บในวันที่อากาศดีเพื่อให้เด็กชายมีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ป่วยไข้







-การกินโมจิไส้ถั่วแดงบดที่ห่อด้วยใบโอ๊ก (Kashiwa mochi) ทั้งนี้ต้นโอ๊กหรือคาชิวะเป็นไม้ที่ไม่ผลัดใบจนกว่ายอดอ่อนจะแตกขึ้นมา คนญี่ปุ่นจึงใช้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองของผู้สืบสกุล








-การจัดกิจกรรมต่างๆให้เด็กเข้าร่วม เช่น กิจกรรมของเด็กตั้งแต่วัยก่อนอนุบาล อนุบาล และประถมในช่วงปลายเดือนเมษายนคือ การผลิตรูปปลาคาร์ฟและหมวกซามูไรโดยความง่ายยากขึ้นกับระดับชั้น ก่อนวันหยุดยาวสำคัญช่วงสัปดาห์ทองโรงเรียนจะจัดงานวันเด็กให้เด็กร่วมร้องเพลงประจำวันเด็ก กินโมจิที่ห่อด้วยใบโอ๊กและนำงานประดิษฐ์กลับบ้าน นอกจากนี้ในวันเด็กก็จะมีการจัดงานสำคัญตามสถานที่ต่างๆให้เด็กเข้าร่วมสร้างความสนุกและความสุขที่ประทับใจวันหนึ่งให้แก่เด็กๆ












ชุดกิโมโน
คำว่า กิโมโน (kimono) ถ้าแปลตามตัวแล้วหมายถึง เสื้อผ้า ถือได้ว่าเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น สามารถสวมใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีลักษณะพิเศษตรงที่ชายเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีผ้าแพรพันสะเอว (obi) ต่างกับชุดที่เป็นเสื้อผ้าของตะวันตก (yofuku) อย่างชัดเจน ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ




ตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือ ค.ศ. 794-1192(ประมาณ พ.ศ. 1337-1735) ก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นสมัยนารา(ค.ศ. 710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย  พอมาถึงสมัยเฮอันซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ อีกทั้งยังเป็นที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ถ้าฤดูหนาวใช้ผ้าหนา ถ้าฤดูร้อนใช้ผ้าบางๆความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ผู้ตัดเย็บจะคิดค้นหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสันผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ




ต่อมาในยุคเอโดะ(ค.ศ. 1600-1868) ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่า ชุดเครื่องแบบ ชุดที่ใส่นี้แบ่งออกเป็น ส่วนคือชุดกิโมโน ชุดคามิชิโมตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง กางเกงขายาวที่ดูเหมือนชุดกระโปรงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี๊ยบมากนับเป็นผลงานศิลปะอีกชิ้นหนึ่ง




สมัยต่อมาในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868- 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติจึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดสากลมากขึ้น และจะใส่ชุดกิโมโนที่เป็นงานพิธีการเท่านั้น




ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบสากล ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ งานฉลองบรรลุนิติภาวะ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถสวมชุดกิโมโนได้เองมีน้อย ถึงขนาดจัดเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของการเตรียมตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว ของสตรีญี่ปุ่น







ลักษณะของชุดกิโมโน
กิโมโนประกอบด้วยเสื้อนางางิ ซึ่งมีลักษณะเป็นคลุมขนาดยาวที่มีแขนเสื้อที่มีความกว้างมาก และสายโอบิ  ซึ่งใช้รัดเสื้อคลุมนี้ให้อยู่คงที่ ชุดกิโมโนทั้งของหญิงและชายเมื่อใส่แล้วจะพรางรูปของผู้สวมใส่ไม่ให้เห็นสัดส่วนที่แท้จริง ชุดกิโมโนของผู้หญิงโสดเป็นกิโมโนแขนยาว ลวดลายที่นิยมคือลายดอกซากุระ กิโมโนของผู้หญิงแต่งงานแล้วจะเป็นกิโมโนแขนสั้นสีไม่ฉูดฉาดมาก