วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ยูโรโซน

ตามประวัติศาสตร์ ทวีปยุโรปเป็นตลาดการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่สกุลเงินที่แตกต่างกันทำให้การค้าขายในแถบนี้ยุ่งยากซับซ้อน ตั้งแต่สมัยปี ค.ศ. 1929 องค์การสันนิบาตชาติ ได้พิจารณาถึงการให้ประเทศสมาชิกรวมตัวกันทั้งด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน แต่สงครามโลกครั้งที่สองทำให้ความพยายามนี้ต้องหยุดชะงักลง ในช่วงสงครามเย็น  ได้มีความพยายามกระชับสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ต่างๆ ในปี ค.ศ. 1951 สนธิสัญญาปารีสได้เชื่อมโยง ประเทศเบลเยียม ฝรั่งเศส เยอรมันตะวันตก อิตาลี ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ เข้าด้วยกันและก่อกำเนิดเป็น ประชาคมถ่านหินและเหล็กแห่งยุโรป  ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 หกประเทศดังกล่าวได้ลงนามในสนธิสัญญาแห่งโรมเพื่อก่อตั้ง ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึงเป็นองค์กรที่ได้กลายมาเป็นสหภาพยุโรป  ในเวลาต่อมา แนวคิดเรื่องความร่วมมือทางเศรษฐกิจได้ถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้ง รายงานที่ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1970 ได้แนะนำให้ประเทศในยุโรปใช้นโยบายทางการเงินร่วมกัน นี่ทำให้ความคิดเรื่องสกุลเงินกลางและธนาคารกลางของประเทศในกลุ่มยุโรปเริ่มเดินหน้า ในปี ค.ศ. 1979 ประเทศในกลุ่มสมาชิก EEC ส่วนใหญ่ได้วางรากฐานให้กับระบบการเงินของยุโรป เพื่อทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินใหม่ ซึ่งตอนนั้นเรียกว่าค่าเงิน ECU คงที่และถ่วงดุลอัตราเงินเฟ้อ ช่วงยุค 1980 เป็นช่วงของการวางแผนอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อก่อตั้งองค์กรด้านเศรษฐกิจและการเงินร่วมกันกฎหมายยุโรปตลาดเดียว (Single European Act) ที่ได้รับการลงนามเมื่อปี ค.ศ. 1986 ได้ขยายขอบเขตความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศสมาชิกในกลุ่ม EEC







ประเทศสมาชิก

ออสเตรีย เบลเยียม ไซปรัส เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก ลัตเวีย มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส สโลวาเกีย สโลวีเนีย และสเปน







เงินยูโร

เงิน 1 ยูโร แปลงเป็นเงินไทยได้ 36 บาท

เหรียญมีตั้งแต่ 1เซนต์ 2เซนต์ 5เซนต์ 10เซนต์ 20เซนต์ 50เซนต์ 1ยูโร 2ยูโร 

ธนบัตรมีตั้งแต่ 5ยูโร 10ยูโร 20ยูโร 50ยูโร 100ยูโร 200ยูโร 500ยูโร  







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น